รู้หรือไม่? การใช้พิษผึ้งสามารถรักษาโรคไมเกรนได้

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้ยินเรื่องผึ้งบำบัดรักษาไมเกรน อาจมีความคิดที่ว่า”ตอนนี้แค่ปวดศีรษะก็มากพออยู่แล้วทำไมยังต้องต่อยผึ้งให้เจ็บอีก?” ทางคลินิกขอแถลงไขเรื่องคำถามดังกล่าวว่าเพราะอะไร เป็นไมเกรนจึงต้องมารักษาด้วยผึ้งบำบัด

ในปัจจุบันทางแพทย์แผนตะวันตกได้ชี้แจงว่า กลไกการเกิดโรคของไมเกรนนั้นเกิดจากความผิดปกติของสาร ”ซีโรโทนิน(Serotonin)” ที่ควบคุมเกี่ยวกับการหดและขยายตัวของหลอดเลือดแดง และเป็นสารที่เชื่อมโยงกับความเจ็บปวดจากทั่วร่างกายโดยตรง ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนจะรู้สึกว่าบริเวณที่ปวดมากจะมีความรู้สึกปวดตุบๆตามจังหวะชีพจร จึงอนุมานได้ว่าอาการปวดนั้นมาจากการขยายตัวที่มากเกินไปของหลอดเลือดแดงบริเวณศีรษะ จนไปส่งผลกระทบกับเส้นประสาทและเนื้อเยื่อโดยรอบบริเวณศีรษะจนเกิดอาการปวดตามมา ซึ่งมาจากการพร่องหรือเสียสมดุลของสาร “ซีโรโทนิน(Serotonin)”

ยารักษาในปัจจุบันคือยาในกลุ่ม “Ergotamine” ซึ่งจะช่วยรักษาในช่วงเวลาที่มีอาการปวด ไมเกรนเท่านั้น โดยจะทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวลง ทำให้อาการปวดหายไปชั่วคราว จึงต้องทานทุกครั้งที่มีอาการปวด ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์ในด้านการป้องกันโรคไมเกรนที่จะกลับมาปวดอยู่เสมอในอนาคต ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือไม่ระมัดระวังเรื่องโรคประจำตัว อาจส่งผลข้างเคียงที่อันตรายถึงชีวิต เช่น หลอดเลือดในสมองตีบ หัวใจขาดเลือด ความดันสูง ปลายมือปลายเท้าเน่า เป็นต้น

หากแต่ปัจจุบันมีการค้นพบว่าในพิษผึ้งนั้นมีองค์ประกอบของสารชีวภาพหลากหลายชนิดรวมถึง ”เซโรโทนิน(Serotonin)”ที่มีคุณสมบัติสั่งการให้หลอดเลือดหดตัวลง จึงทำให้อาการปวดหัวลดลง ทั้งยังมีความสามารถในการต้านการอักเสบและลดอาการปวดได้เป็นอย่างดี ทางคลินิกจึงนำมาปรับประยุกต์ใช้เพื่อการบำบัดรักษาโรคไมเกรน และผนวกกับการรักษาแบบองค์รวมของแพทย์แผนทางเลือก ที่เข้ามามีบทบาทในการปรับสมดุลหยิน-หยาง ทะลวงเส้นลมปราณ และการระบายแกร่งเสริมพร่อง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ