Big Bee Clinic

การรักษาผึ้งบำบัด

ในการรักษาด้วยผึ้งบำบัด จะมี 3 ประเภท 1.การใช้เหล็กไนของผึ้งมาต่อยรักษาโดยตรง แบ่งเป็น 2ลักษณะ 1.1 ต่อยตรงจุดกดเจ็บ (Trigger points) จุดกดเจ็บ หมายถึง จุดที่เรากดลงไปแล้วรู้สึกปวด เจ็บแปลบ ๆ เหมือนมีก้อนแข็ง ๆ เล็ก ๆ ยังคงไม่สลายไป มีอาการเจ็บปวดมากที่สุด การหาจุดกดเจ็บทำได้โดยการใช้นิ้วมือคลำดูบริเวณที่มีอาการแล้วค่อยกดลงที่ละจุด ถามผู้ป่วยว่าเจ็บมากไหม ถ้าผู้ป่วยแสดงอาการเจ็บมาก หรือบอกว่าเจ็บ แสดงว่าเป็นจุดที่มีปัญหา ซึ่งนิยมต่อยผึ้งทั้งตัวบริเวณจุดนี้ เช่นกลุ่มอาการปวดต่างๆ ปวดหัวไหล่ ปวดเข่า ปวดเอว ปวดขา ไมเกรน รูมาตอยด์ เกาต์ ฯลฯ 1.2 ต่อยตามจุดบนเส้นลมปราณ การต่อยผึ้งตามจุดบนเส้นลมปราณ ใช้หลักการต่อยเหล็กในผึ้งลงบนจุดที่ใช้ในการฝังเข็มคล้ายๆกับการฝังเข็มแต่เปลี่ยนจากเข็มเหล็กมาเป็นเข็มเหล็กในผึ้ง โดยจะให้สรรพคุณเหมือนกับการฝังเข็มแต่ในเหล็กในผึ้งยังมีพิษผึ้งซึ่งจะช่วยในการบำบัดได้ต่อเนื่องกว่าการฝังเข็ม เช่น ไมเกรน รูมาตอยด์ 2.การใช้พิษแห้ง ในการรักษาโดยการใช้พิษแห้งจะใช้หลังจากการต่อยผึ้งหรือกรณีที่ผู้ป่วยไม่ประสงค์ต่อยผึ้ง วิธีการใช้พิษแห้งเราจะใช้ร่วมกับเครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เพื่อให้เกิดการผลักพิษแห้งเข้าไปช่วยบรรเทาหรือรักษาบริเวณที่มีอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดส้นเท้า ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดข้อศอก ปวดข้อมือ เป็นต้น …

การรักษาผึ้งบำบัด Read More »

ศาสตร์การรักษาด้วยผึ้งบำบัด

การฝังเข็มด้วยเหล็กในผึ้งตามหลักทฤษฏีแพทย์แผนจีน วิเคราะห์ตามหลักเส้นลมปราณ โดยใช้พิษผึ้งซึ่งมีองค์ประกอบทางเคมีที่มีคุณสมบัติในการกระจายพิษการอักเสบ กระตุ้นพลังงานและเลือดลม ทำให้เลือดไหลเวียนมาเลี้ยงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น ร่วมกับการใช้ผลิตภัณฑ์ผึ้งเพื่อเสริมฤทธิ์การรักษา และเสริมภูมิคุ้มกันร่างกายต่อการรับพิษผึ้ง ก็จะส่งผลให้อาการปวดอันเนื่องมาจากเลือดลมบริเวณที่มีอาการไหลเวียนไม่สะดวกค่อยๆบรรเทาลง จนกระทั่งไม่มีอาการปวด

รู้หรือไม่? การใช้พิษผึ้งสามารถรักษาโรคไมเกรนได้

เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้ยินเรื่องผึ้งบำบัดรักษาไมเกรน อาจมีความคิดที่ว่า”ตอนนี้แค่ปวดศีรษะก็มากพออยู่แล้วทำไมยังต้องต่อยผึ้งให้เจ็บอีก?” ทางคลินิกขอแถลงไขเรื่องคำถามดังกล่าวว่าเพราะอะไร เป็นไมเกรนจึงต้องมารักษาด้วยผึ้งบำบัด ในปัจจุบันทางแพทย์แผนตะวันตกได้ชี้แจงว่า กลไกการเกิดโรคของไมเกรนนั้นเกิดจากความผิดปกติของสาร ”ซีโรโทนิน(Serotonin)” ที่ควบคุมเกี่ยวกับการหดและขยายตัวของหลอดเลือดแดง และเป็นสารที่เชื่อมโยงกับความเจ็บปวดจากทั่วร่างกายโดยตรง ดังนั้นเมื่อมีอาการปวดศีรษะไมเกรนจะรู้สึกว่าบริเวณที่ปวดมากจะมีความรู้สึกปวดตุบๆตามจังหวะชีพจร จึงอนุมานได้ว่าอาการปวดนั้นมาจากการขยายตัวที่มากเกินไปของหลอดเลือดแดงบริเวณศีรษะ จนไปส่งผลกระทบกับเส้นประสาทและเนื้อเยื่อโดยรอบบริเวณศีรษะจนเกิดอาการปวดตามมา ซึ่งมาจากการพร่องหรือเสียสมดุลของสาร “ซีโรโทนิน(Serotonin)” ยารักษาในปัจจุบันคือยาในกลุ่ม “Ergotamine” ซึ่งจะช่วยรักษาในช่วงเวลาที่มีอาการปวด ไมเกรนเท่านั้น โดยจะทำให้หลอดเลือดแดงหดตัวลง ทำให้อาการปวดหายไปชั่วคราว จึงต้องทานทุกครั้งที่มีอาการปวด ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์ในด้านการป้องกันโรคไมเกรนที่จะกลับมาปวดอยู่เสมอในอนาคต ซึ่งหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือไม่ระมัดระวังเรื่องโรคประจำตัว อาจส่งผลข้างเคียงที่อันตรายถึงชีวิต เช่น หลอดเลือดในสมองตีบ หัวใจขาดเลือด ความดันสูง ปลายมือปลายเท้าเน่า เป็นต้น หากแต่ปัจจุบันมีการค้นพบว่าในพิษผึ้งนั้นมีองค์ประกอบของสารชีวภาพหลากหลายชนิดรวมถึง ”เซโรโทนิน(Serotonin)”ที่มีคุณสมบัติสั่งการให้หลอดเลือดหดตัวลง จึงทำให้อาการปวดหัวลดลง ทั้งยังมีความสามารถในการต้านการอักเสบและลดอาการปวดได้เป็นอย่างดี ทางคลินิกจึงนำมาปรับประยุกต์ใช้เพื่อการบำบัดรักษาโรคไมเกรน และผนวกกับการรักษาแบบองค์รวมของแพทย์แผนทางเลือก ที่เข้ามามีบทบาทในการปรับสมดุลหยิน-หยาง ทะลวงเส้นลมปราณ และการระบายแกร่งเสริมพร่อง เพื่อให้ได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพ